กระเทียม (Garlic) เป็นพืชที่น่าสนใจทั้งในเชิงทางกลิ่น รส และสรรพคุณทางการแพทย์ด้วยคุณสมบัติทางการแพทย์ที่มีประโยชน์มากมาย ส่วนใหญ่ใช้ในการปรุงอาหารเพราะมีรสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ เช่นในการทำผัด ต้ม และปรุงรสต่างๆ อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางการแพทย์ด้านการลดความดันเลือด ควบคุมระดับไขมันในเลือด และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีคุณสมบัติต้านเหน็บและต้านการเกิดมะเร็งอีกด้วย แต่ควรระวังในการใช้งานให้ถูกต้องและอย่างมีความระมัดระวัง เช่น ในบางบุคคลอาจมีการเกิดปัญหาทางการย่อยอาหารหรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังการบริโภคกระเทียมในปริมาณมาก เรียกได้ว่ากระเทียมเป็นที่น่าสนใจทั้งในเชิงทางความอร่อยและคุณค่าทางอาหารเยี่ยมและอีกทั้งยังมีประโยชน์ทางสุขภาพอีกมากมาย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกระเทียม
หัว (Bulb): หัวกระเทียมมีลักษณะเป็นกลีบหลายกลีบที่เรียงตัวแน่นอยู่ภายในเปลือกนอก แต่ละกลีบเรียกว่า “กีบ” หรือ “กลีบ” หัวกระเทียมมีสีขาวหรือขาวอมม่วง ขึ้นอยู่กับพันธุ์
ใบ (Leaves): ใบกระเทียมเป็นใบเดี่ยวเรียวยาว รูปทรงแบนและมีลักษณะเรียวแหลม ปลายใบโค้งมนและมีสีเขียวสด
ลำต้น (Stem): ลำต้นของกระเทียมเป็นลำต้นสั้นและตั้งตรง มักจะมีส่วนลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นส่วนที่เรานิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหาร
ดอก (Flowers): ดอกกระเทียมมีลักษณะเป็นช่อดอกกลมที่ปลายลำต้น โดยแต่ละช่อดอกประกอบด้วยดอกเล็กๆ สีขาวหรือสีชมพู
ประโยชน์ของกระเทียม
1. การทำอาหาร: กระเทียมเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในครัวทั่วโลก มันให้รสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ช่วยเพิ่มความอร่อยให้อาหาร นิยมใช้ทั้งในรูปแบบสดและแห้ง
2. คุณสมบัติทางยา:
- เสริมภูมิคุ้มกัน: กระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) ที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ลดระดับคอเลสเตอรอล: การบริโภคกระเทียมเป็นประจำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- ป้องกันโรคหัวใจ: สารต่างๆ ในกระเทียมมีผลช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
- ต้านการอักเสบและเชื้อแบคทีเรีย: กระเทียมมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบในร่างกาย
- ป้องกันมะเร็ง: มีการวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคกระเทียมอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
3. การใช้ในประเพณีและพิธีกรรม: ในบางวัฒนธรรม กระเทียมถูกใช้ในประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ เช่น การไล่ผีหรือการป้องกันภัยจากวิญญาณร้าย
วิธีการใช้กระเทียมในอาหาร
- กระเทียมสด: สับหรือตำกระเทียมสดใส่ในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ
- กระเทียมทอด: ทอดกระเทียมจนเป็นสีเหลืองทองเพื่อเพิ่มความกรอบและกลิ่นหอม
- กระเทียมดอง: ดองกระเทียมเพื่อเก็บรักษาและเพิ่มรสชาติที่แตกต่างในการทำอาหาร
- กระเทียมผง: ใช้กระเทียมผงในกรณีที่ไม่ต้องการใช้กระเทียมสดหรือเพื่อความสะดวกในการปรุงอาหาร
การปลูกกระเทียม
1. เตรียมดิน
- กระเทียมชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี หากดินเป็นกรดหรือด่างจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกระเทียมได้
- ถ้าดินไม่เหมาะสม สามารถปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
2. เลือกเมล็ดหรือหัวแบ่งพันธุ์
- สามารถใช้เมล็ดกระเทียมหรือหัวกระเทียมแบ่งพันธุ์ที่ซื้อจากร้านค้าหรือจากสวนของคุณเอง
- หากใช้เมล็ด ควรเลือกเมล็ดที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดต้นกระเทียมที่แข็งแรง
3. การปลูก
- ในกรณีที่ใช้เมล็ด ลงเมล็ดกระเทียมลงในดินโดยทำโพรงลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร แล้วนำเมล็ดมาฝังลงในดินในแต่ละโพรง โดยห่างกันประมาณ 10-15 เซนติเมตร
- ในกรณีที่ใช้หัวแบ่งพันธุ์ หัวกระเทียมจะต้องมีแต่ละชิ้นมีน้ำหนักประมาณ 25-30 กรัม และมีรากย่อยที่ประมาณ 1-2 เซนติเมตร
- หัวแบ่งพันธุ์จะต้องลงหลุมลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร โดยที่ระยะห่างระหว่างหัวแบ่งพันธุ์ควรจะห่างกันประมาณ 10-15 เซนติเมตร
4. การดูแล
- ให้น้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต หลังจากนั้น สามารถลดปริมาณการให้น้ำลงให้เหมาะสมกับความต้องการของต้นกระเทียมได้
- หลังจากที่ต้นกระเทียมเริ่มเจริญเติบโต ควรใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับต้น สามารถใช้ปุ๋ยสูตรเสมอหรือปุ๋ยคอกผสมตามความเหมาะสม
- ต้องระวังการเพลี้ยกระเทียม แมลงมด หรือโรคพืชต่างๆ ที่อาจเข้าทำลายต้นกระเทียม สามารถใช้วิธีการป้องกันหรือกำจัดโรคและแมลงตามความเหมาะสม
5. เก็บเกี่ยว
- กระเทียมจะพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวเมื่อใบเหลืองแห้งลง หรือเห็นรากย่อยและเหลืองตายลง
- เมื่อเก็บเกี่ยว ตัดส่วนบนของต้นกระเทียมออกและทิ้งไว้บนดินเพื่อให้หัวกระเทียมที่อยู่ใต้ดินได้แห้งและเก็บไว้ในที่ร่ม